เมนู

12. ธัมมทินนาเถรีคาถา


[413] ผู้ที่เกิดฉันทะ มีที่สุด พึงถูกต้องพระ-
นิพพานด้วยใจ ผู้ที่มีจิตไม่ปฏิพัทธ์ ในกามทั้งหลาย
ท่านเรียกว่า มีกระแสในเบื้องบน.

จบ ธัมมทินนาเถรีคาถา

12. อรรถกถาธัมมทินนาเถรีคาถา


คาถาว่า ฉนฺทชาตา อวสายี เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรีชื่อ
ธัมมทินนา.
เล่ากันว่า พระเถรีชื่อ ธัมมทินนา นั้น ในกาลแห่งพระพุทธเจ้า
พระนาม ปทุมุตตระ เป็นผู้อาศัยคนอื่นเขาเลี้ยงชีพอยู่ในกรุงหังสวดี ถวาย
ทานที่มีบูชาสักการะเป็นเบื้องต้น แต่พระอัครสาวกผู้ออกจากนิโรธ บังเกิด
ในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้นแล้ว ท่องเที่ยวอยู่ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า ปุสสะ เธออยู่ในเรือนคนงานของ
พี่ชายต่างมารดาของพระศาสดา เมื่อสามีพูดพาดพิงถึงทานว่า เธอจงให้หนึ่ง
ส่วน ดังนี้ นางให้สองส่วน ทำบุญเป็นอันมาก ในกาลของพระกัสสปพุทธ-
เจ้า เธอถือปฏิสนธิในพระตำหนักของพระเจ้ากาสีพระนาม กิงกิ เป็นคน
หนึ่งภายในพี่น้องหญิง 7 คน ประพฤติพรหมจรรย์สองหมื่นปี ท่องเที่ยวอยู่
ในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายพุทธันดรหนึ่ง ในพุทธุปปาทกาลนี้ บังเกิดใน
เรือนตระกูลในกรุงราชคฤห์ เจริญวัยแล้วไปสู่เรือนของวิสาขเศรษฐี.

อยู่มาวันหนึ่ง วิสาขเศรษฐีฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ได้เป็น
พระอนาคามี ไปเรือน เมื่อขึ้นปราสาทไม่ยึดมือที่นางธัมมทินนาผู้ยืนอยู่หัว
บันไดยื่นให้ ขึ้นปราสาท แม้เมื่อบริโภคอาหารก็บริโภคเฉยๆ นางธัมมทินนา
ใคร่ครวญดูเหตุนั้นกล่าวว่า ข้าแต่ลูกนาย ทำไมวันนี้ท่านจึงไม่ยึดมือฉัน แม้
เมื่อบริโภคอาหารก็ไม่พูดอะไรๆ ฉันมีความผิดอะไรหรือ วิสาขเศรษฐีกล่าว
ว่า แม่ธัมมทินนา เธอไม่มีความผิด ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันไม่ควรถูกต้องกาย
หญิง และไม่ควรทำความเหลาะแหละในอาหาร ฉันแทงตลอดธรรมเช่นนั้น
แล้ว ก็ถ้าเธอปรารถนา ก็จงอยู่ในเรือนนี้แหละ ถ้าไม่ปรารถนา ก็จงถือเอา
ทรัพย์เท่าที่เธอต้องการไปเรือนตระกูล (ของเธอ). นางธัมมทินนากล่าวว่า ข้า
แต่ลูกนาย ฉันจะไม่กลืนอาเจียนที่ท่านคายไว้ ท่านโปรดอนุญาตให้ฉันบวช
เถิด วิสาขเศรษฐีกล่าวว่า สาธุ ธัมมาทินนา แล้วเอาวอทองส่งนางไปสำนัก
ภิกษุณี.
นางธัมมทินนาบวชแล้ว เรียนกัมมัฏฐานอยู่ในสำนักภิกษุณีนั้นสอง
สามวัน ประสงค์จะอยู่อย่างวิเวกจึงไปหาอุปัชฌาย์อาจารย์กล่าวว่า ข้าแต่
แม่เจ้าทั้งหลาย ใจของดิฉันไม่ชอบที่เกลื่อนกล่น ดิฉันจะไปสู่อาวาสใกล้บ้าน
พวกภิกษุณีพาเธอไปอาวาสใกล้บ้าน เธออยู่ในที่นั้น ไม่นานนักก็ได้บรรลุ
พระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ทั้งหลาย เพราะเธอย่ำยีสังขารในอดีตได้แล้ว
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า1
พระพิชิตมารพระนามปทุมุตตระผู้ทรงถึงฝั่ง
แห่งธรรมทั้งปวง ทรงเป็นนายกของโลกเสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้ว ในกัปที่หนึ่งแสนแต่ภัทรกัปนี้ ในกาลนั้น
ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลหนึ่งในกรุงหังสวดีรับจ้างทำงาน
ของคนอื่น เป็นผู้มีปัญญา สำรวมอยู่ในศีล พระ-

1. ขุ. 33/ข้อ 163. ธัมมทินนาเถรีอปทาน

สุชาตเถระอัครสาวกของพระปทุมมุตตระพุทธเจ้า ออก
จากวิหารไปบิณฑบาต เวลานั้นข้าพเจ้าเดินถือหม้อไป
ตักน้ำ เห็นท่านแล้วเลื่อมใส ได้ถวายขนมด้วยมือ
ของตน ท่านรับและนั่งฉันตรงนั้นเอง จากนั้นข้าพเจ้า
ได้นำท่านไปสู่เรือน ได้ถวายโภชนะแด่ท่าน ต่อมา
นายของข้าพเจ้ามีความยินดีได้ยกข้าพเจ้าเป็นลูกสะใภ้
ของท่าน ข้าพเจ้ากับแม่ผัวได้ไปถวายอภิวาทพระ-
สัมพุทธเจ้า ครั้งนั้นพระศาสดาทรงประกาศตั้งภิกษุณี
ผู้เป็นธรรมกถึก ในตำแหน่งเอตทัคคะ ข้าพเจ้าได้ฟัง
ดังนั้นแล้วมีความยินดี นิมนต์พระสุคตผู้เป็นนายก
ของโลกพร้อมด้วยพระสงฆ์ ถวายมหาทานปรารถนา
ตำแหน่งนั้น คราวนั้นพระสุคตผู้มีพระสุรเสียงก้อง-
กังวาลไพเราะ ได้ตรัสกะข้าพเจ้าว่า แน่ะนางผู้เจริญ
ผู้ยินดีบำรุงเราเลี้ยงดูเรากับสงฆ์สาวก ผู้ขวนขวาย
ในการฟังสัทธรรม มีใจเจริญด้วยคุณ เธอจงยินดีเถิด
เธอจักได้ผลตามปรารถนา แต่กัปนี้ไปแสนกัป พระ-
ศาสดาผู้สมภพในวงศ์พระเจ้าโอกกากราช มีพระนาม
ว่าโคตมะโดยโคตร จักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก เธอจัก
เป็นธรรมทายาทของพระศาสดาพระองค์นั้นเป็นโอรส
อนธรรมเนรมิต เป็นสาวิกาของพระศาสดาจักมีชื่อว่า
ธัมมทินนา ข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นแล้วมีความยินดี มีจิต
ประกอบด้วยเมตตา บำรุงพระมหามุนีผู้เป็นนายกวิเศษ
ด้วยปัจจัยทั้งหลายจนตลอดชีวิต ด้วยกุศลกรรมที่ได้

ทำไว้ และด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ข้าพเจ้าละร่าง
มนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระพุทธเจ้าเผ่า-
พันธุ์ผู้ประเสริฐมียศมาก พระนามว่ากัสสปะตามโคตร
ประเสริฐกว่าบัณฑิตทั้งหลาย ได้เสด็จอุบัติแล้วใน
ภัทรกัปนี้ ในครั้งนั้นพระเจ้ากาสีพระนาม กิงกิ ผู้เป็น
ใหญ่กว่านรชนในกรุงพาราณสีอันอุดม ทรงเป็นอุปัฏ-
ฐากของพระพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้า
เป็นธิดาคนที่หกของท้าวเธอ ปรากฏนามว่าสุธรรมา
ได้ฟังธรรมของพระพิชิตมารผู้เลิศแล้ว พอใจบรรพชา
แต่พระชนกนาถไม่ทรงอนุญาตแก่พวกเรา ครั้งนั้น
พวกเราอยู่ในอาคารนั่นแล เป็นเจ้าหญิงที่มีความสุข
ไม่เกียจคร้าน ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งแต่เป็นกุมารี
อยู่สองหมื่นปี ราชธิดา 7 องค์ คือ นางสมณี 1
นางสมณคุตตา 1 นางภิกขุนี 1 นางภิกขุทาสิกา 1
นางธรรมา 1 นางสุธรรมา 1 และนางสังฆทาสีเป็น
คนที่ 7 เป็นผู้ยินดีบันเทิงใจในการบำรุงพระพุทธเจ้า
ได้ (กลับชาติ) มาเป็นพระเขมาเถรี 1 พระอุบล
วรรณาเถรี 1 พระปฏาจาราเถรี 1 พระกุณฑลเกสี-
เถรี 1 พระกิสาโคตมีเถรี 1 ข้าพเจ้า 1 และเป็นวิสา-
ขาอุบาสิกาซึ่งเป็นคนที่ 7 ด้วยกุศลกรรมที่ได้ทำไว้
แล้วนั้น และด้วยความตั้งใจแน่วแน่ ข้าพเจ้าละร่าง
มนุษย์แล้วได้ไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และในภพหลัง
ครั้งนี้ ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลเศรษฐีที่มั่งคั่ง สมบูรณ์

ด้วยกามสุขทุกอย่าง ในกรุงราชคฤห์อันอุดม เมื่อ
ข้าพเจ้าประกอบด้วยรูปสมบัติและคุณสมบัติ ตั้งอยู่ใน
ปฐมวัย ไปสู่ตระกูลอื่น (แต่งงาน) เพียบพร้อม
ด้วยความสุข สามีของข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
ผู้เป็นสรณะแห่งสัตว์โลก ฟังพระธรรมเทศนาแล้วได้
บรรลุอนาคามิผล เป็นคนมีปัญญาดี คราวนั้นข้าพเจ้า
ขออนุญาตบวชเป็นบรรพชิต ไม่นานนักก็ได้บรรลุ
พระอรหัต.
คราวนั้น อุบาสกนั้น เข้าไปหาข้าพเจ้า ได้ถาม
ปัญหาที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อน ข้าพเจ้าพยากรณ์ปัญหา
ทั้งหมดนั้นได้ พระพิชิตมาร ทรงยินดีในคุณข้อนั้น
จึงทรงตั้งข้าพเจ้าไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ ด้วยพระ-
ดำรัสว่า เรามิได้เห็นภิกษุณีรูปอื่นผู้เป็นธรรมกถึก
เช่นนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงทรงจำไว้ว่า
ภิกษุธัมมทินนาเป็นนักปราชญ์ ข้าพเจ้าอันพระผู้
เป็นนายกของสัตว์โลกทรงอนุเคราะห์แล้ว ชื่อว่าเป็น
บัณฑิตอย่างนี้ ข้าพเจ้าบำรุงพระศาสดาแล้ว ปฏิบัติ
คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ปลงภาระหนักแล้ว
ถอนตัณหาอันนำไปสู่ภพได้แล้ว กุลบุตรทั้งหลาย
ออกจากเรือนบวชเป็นที่ไม่มีเรือน เพื่อต้องการประ-
โยชน์ใด ประโยชน์นั้น คือธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่ง
สัญโญชน์ทั้งปวงข้าพเจ้าบรรลุแล้ว ข้าพเจ้าเป็นผู้มี
ความชำนาญในฤทธิ์ และในทิพโสตธาตุ รู้จิตผู้อื่น

กระทำตามคำสอนของพระศาสดา ข้าพเจ้ารู้ปุพเพนิ-
วาสญาณ และทิพยจักษุอันหมดจดวิเศษ ยังอาสวะ
ทั้งปวงให้สิ้นไปแล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ปราศจากมลทิน
ข้าพเจ้าเผากิเลสแล้ว ภพทั้งหมดข้าพเจ้าถอนได้แล้ว
ข้าพเจ้าตัดเครื่องผูกพัน เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ ดังช้าง-
พังตัดเชือกแล้ว การมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐ
ของข้าพเจ้า เป็นการมาดีแล้วหนอ ข้าพเจ้าได้บรรลุ
วิชชาสามตามลำดับ ข้าพเจ้าปฏิบัติคำสอนของพระ-
พุทธเจ้าแล้วคุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทาสี่ วิโมกข์
แปดและอภิญญาหก ข้าพเจ้าทำให้แจ้งแล้ว ข้าพเจ้า
ปฏิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว.

ครั้นบรรลุพระอรหัตแล้ว พระธัมมทินนาเถรีคิดว่าใจของเราหมด
กิเลสแล้ว บัดนี้เราจักอยู่ทำอะไรในที่นี้ เราจักไปกรุงราชคฤห์ถวายบังคม
พระศาสดา และพวกญาติของเราเป็นจำนวนมากจักกระทำบุญ จึงกลับมา
กรุงราชคฤห์กับภิกษุณีทั้งหลาย.
วิสาขอุบาสกทราบว่าพระธัมมทินนาเถรีมา เมื่อจะทดลองการตรัสรู้
ของพระเถรีนั้น ได้ถามปัญหาเรื่องเบญจขันธ์เป็นต้นต้น พระธัมมทินนาเถรีได้
วิสัชนาปัญหาที่ถามแล้ว ๆ เหมือนตัดก้านบัวด้วยศัสตราอันคมกริบฉะนั้น วิสาข-
อุบาสกกราบทูลนัยแห่งคำถามและคำตอบทั้งหมดแด่พระศาสดา พระศาสดา
ทรงสรรเสริญพระเถรีนั้น ด้วยพระพุทธพจน์ว่า วิสาขะ ภิกษุณีธัมมทินนา
เป็นบัณฑิตเป็นต้น ทรงประกาศการพยากรณ์ปัญหาเทียบกับพระสัพพัญญุต-
ญาณ ทรงทำจูฬเวทัลลสูตรนั้นแลให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรงตั้ง
พระธัมมทินนาเถรีนั้นไว้ในตำแหน่งเลิศของภิกษุณีผู้เป็นธรรมกถึก ก็พระเถรี

นั้นอยู่ในอาวาสใกล้บ้านนั้น บรรลุมรรคเบื้องต้นแล้วเริ่มต้นเจริญวิปัสสนา
เพื่อมรรคเบื้องสูงในกาลใดในกาลนั้นได้กล่าวคาถานี้ว่า
ผู้ที่เกิดฉันทะ มีที่สุด พึงถูกต้องพระนิพพาน
ด้วยใจ ผู้ที่มีจิตไม่ปฏิพัทธ์ในกามทั้งหลาย ท่านเรียกว่า
ผู้มีกระแสในเบื้องบน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺทชาตา ได้แก่เกิดฉันทะเพื่ออรหัตผล
ความสิ้นสุด คือความจบลง ท่านเรียกว่า อวสายะ. ในบทว่า อวสายี.
แม้บทนั้นก็พึงทราบว่า ความจบลงแห่งสมณกิจ เพราะเนื้อความที่ท่านกล่าวว่า
ผู้มีกระแสในเบื้องบน เพราะมีจิตไม่ปฏิพัทธ์ในกามทั้งหลาย ไม่ใช่ของคน
ใดคนหนึ่ง ฉะนั้นจึงมีอธิบายเนื้อความดังนี้ว่า เป็นผู้มีใจยังไม่บรรลุแม้ด้วย
บททั้งสอง ยังปรารถนาพระนิพพานที่เป็นแดนเกษมจากโยคะอันยอดเยี่ยม.
บทว่า มนสา จ ผุฏฺฐา สิยา ความว่า พึงเป็นผู้ถูกต้องคือสัมผัสพระ
นิพพาน ด้วยมรรคจิตสามดวงเบื้องต่ำ. บทว่า กาเมสุ อปฺปฏิพทฺธจิตฺตา
ได้แก่ ผู้มีจิตไม่ปฏิพัทธ์ในกามทั้งหลาย ด้วยอำนาจอนาคามิมรรค. บทว่า
อุทฺธํโสตา ความว่า ชื่อว่า ผู้มีกระแสในเบื้องบน เพราะพระเถรีนั้นมี
กระแสมรรคและกระแสสังสารวัฏในเบื้องบนนั่นแล อธิบายว่า เหมือนอย่างว่า
อรหัตมรรคย่อมเกิดขึ้นแก่พระอนาคามี มรรคอื่นย่อมไม่เกิด ฉันใด ความ
เกิดในภพเบื้องบนเท่านั้น ย่อมมีแก่พระอนาคามี ผู้เกิดขึ้นในสุทธาวาสภพ
มีชั้นอวิหาเป็นต้นจนถึงชั้นอกนิษฐ์ฉันนั้น.
จบ อรรถกถาธัมมทินนาเถรีคาถา

13. วิสาขาเถรีคาถา


[414] ท่านทั้งหลายจงทำตามคำสอนของพระ-
พุทธจ้า ที่บุคคลทำแล้วไม่เดือดร้อนภายหลัง ท่าน
ทั้งหลายจงรีบล้างเท้าทั้งสองแล้วนั่ง ณ ที่ควรเถิด.

จบ วิสาขาเถรีคาถา

13. อรรถกถาวิสาขาเถรีคาถา


คาถาว่า กโรถ พุทฺธสาสนํ เป็นต้น เป็นคาถาของพระเถรีชื่อ
วิสาขา.
เรื่องของพระเถรีชื่อวิสาขานั้น เหมือนเรื่องของพระเถรีชื่อธีรานั่น
แหละ พระเถรีชื่อวิสาขานั้นบรรลุพระอรหัตแล้วให้เวลาล่วงไปด้วยวิมุตติสุข
ได้พยากรณ์พระอรหัตผลด้วยคาถานี้ว่า
ท่านทั้งหลายจงทำตามคำสอนของพระพุทธ-
เจ้า ที่บุคคลทำแล้วไม่เดือดร้อนภายหลังท่านทั้งหลาย
จงรีบล้างเท้าทั้งสองแล้วนั่ง ณ ที่ควรเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กโรถ พุทฺธสาสนํ ความว่า จงทำตาม
คำสอน คือคำสั่งสอนและพร่ำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือจงปฏิบัติตาม
ที่ทรงพร่ำสอน. บทว่า ยํ กตฺวา นานุตปฺปติ ความว่า เพราะสำเร็จความ
ประสงค์ทั้งหลายโดยชอบทีเดียว ของผู้กระทำตามคำพร่ำสอนที่บุคคลกระทำ
แล้วไม่เดือดร้อนภายหลัง เพราะเหตุที่กระทำนั้น. บทว่า ขิปฺปํ ปาทานิ